textile recycling

ความรู้จักกับ Textile Recycling ให้มากขึ้น และตอบคำถามว่าเพราะเหตุใด เข้ามาเป็นเทรนด์ใหม่ของวงการแฟชั่นในอนาคต

กระบวนการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากแค่ไหน

อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มมีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึงราว 1.7 พันล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 8-10% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก ซึ่งมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางทะเลรวมกัน

ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากประเทศที่มีโรงงานผลิตเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มขนาดใหญ่อย่างจีนและอินเดียพึ่งพาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก กับการเติบโตของ Fast Fashion หรือเสื้อผ้าตามกระแสนิยมที่มีราคาถูกด้วยต้นทุนการผลิตที่ต่ำ ทำให้สามารถผลิตในปริมาณที่มากและรวดเร็ว ซึ่งส่งให้มลพิษที่ปลดปล่อยจากการผลิตเสื้อผ้ามากขึ้นตามไปด้วย

โดยจากงานวิจัยของ Quantis (2018) พบว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มส่วนใหญ่มาจากกระบวนการย้อมสีและตกแต่งสำเร็จ (36%) เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากที่สุด รองลงมา ได้แก่ การเตรียมเส้นด้ายหรือการปั่น (28%) การผลิตเส้นใย (15%) และการเตรียมผ้าหรือการถักทอ (12%)

นอกจากนี้ การผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มมีการใช้น้ำจำนวนมาก ตั้งแต่การใช้น้ำเพื่อการเกษตรไปจนถึงการใช้น้ำในการย้อมสีและตกแต่ง โดยจากรายงานของ UNESCO-IHE ชี้ว่า การผลิตเสื้อยืด 1 ตัวต้องใช้น้ำมากถึง 2,700 ลิตร เทียบเท่าปริมาณน้ำสำหรับบริโภคต่อคนได้เกือบ 3 ปี

อีกทั้ง การใช้สารเคมีในการฟอกย้อมสียังก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำกว่า 20% ของปริมาณน้ำเสียทั่วโลก ขณะที่การผลิตสิ่งทอจากเส้นใยธรรมชาติต้องใช้ที่ดินจำนวนมากในการปลูกฝ้ายและเลี้ยงสัตว์ ซึ่งในอนาคต ความต้องการเสื้อผ้าที่สูงขึ้นตามกำลังซื้อของผู้บริโภค จะก่อให้เกิดมลพิษจากการผลิตเสื้อผ้ามากขึ้น และยิ่งจะส่งผลลบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นตามไปด้วย

ทำความรู้จักกับ Textile Recycling

Textile Recycling

Textile Recycling คือ เสื้อผ้าที่ผลิตมาจากขยะสิ่งทอ โดยวัสดุที่ใช้สำหรับการรีไซเคิลสิ่งทอสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

1. ขยะสิ่งทอก่อนการบริโภค (Pre-consumer) ส่วนใหญ่เป็นเศษด้ายและเศษผ้าที่เหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม

2. ขยะสิ่งทอหลังการบริโภค (Post-consumer) คือ สิ่งทอที่ถูกทิ้ง เสื่อมสภาพหรือผ่านการใช้งานแล้ว เช่น เสื้อผ้าเก่า และของใช้ในบ้านต่างๆ

กระบวนการผลิต Textile Recycling จะเริ่มจากการนำวัสดุของแข็งที่ติดมากับเสื้อผ้าออก เช่น กระดุมและซิป แล้วนำขยะสิ่งทอมาตัดหรือฉีกออกเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นจะทำการคัดแยกเฉดสีเพื่อเข้าสู่กระบวนการแปลงสภาพ โดยการนำเอาตัวทำละลายที่เหมาะสมกับเส้นใยแต่ละชนิดมาทำละลายเพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอม แล้วอัดขึ้นรูปเพื่อนำมาปั่นเป็นเส้นใยรีไซเคิลสำหรับผลิตเสื้อผ้าใหม่หรือผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่นๆ  อย่างไรก็ดี เสื้อผ้าส่วนใหญ่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรีไซเคิลได้ 100%

เนื่องจากส่วนประกอบและเส้นใยของเสื้อผ้ามีความหลากหลาย ซึ่งเส้นใยแต่ละชนิดมีความสามารถในการรีไซเคิลต่างกัน อีกทั้งกระบวนการรีไซเคิลสิ่งทอจะส่งผลให้ความยาวของเส้นใยสั้นลง จึงต้องทำการผสมกับเส้นใยบริสุทธิ์ในสัดส่วนราว 30-50% เพื่อให้เส้นใยมีคุณภาพมากขึ้น

โดยทั่วไป เสื้อผ้าที่ทำมาจากเส้นใยรีไซเคิลยังคงมีราคาแพงกว่าเสื้อผ้าที่ทำมาจากเส้นใยบริสุทธิ์ เนื่องจากต้องใช้แรงงานจำนวนมากในการคัดแยกส่วนประกอบและสีของเสื้อผ้า เพื่อให้ได้วัตถุดิบตั้งต้นที่สม่ำเสมอสำหรับการรีไซเคิล ทำให้การประหยัดต้นทุนต่อหน่วย (Economies of Scale) ทำได้ค่อนข้างยาก กอปรกับต้นทุนในการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อรีไซเคิลสิ่งทอยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม คาดว่าต้นทุนในการผลิตเสื้อผ้าที่ทำมาจากเส้นใย รีไซเคิลจะมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากบริษัทต่างๆ สนใจที่จะลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตเสื้อผ้า รวมถึงการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการรีไซเคิล ขณะที่ผู้บริโภคมีความต้องการสิ่งทอที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

และยินดีที่จะซื้อเสื้อผ้าที่ทำมาจากวัสดุรีไซเคิลในราคาที่สูงขึ้น ทำให้ในปัจจุบันมีบริษัทผู้ประกอบการเสื้อผ้าทั้งในต่างประเทศและผู้ประกอบการไทยออกผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าที่ทำมาจากวัสดุรีไซเคิลมากขึ้น ซึ่งบางบริษัทมีเป้าหมายการผลิตเสื้อผ้าที่ทำมาจากผ้ารีไซเคิล 100% ในช่วง 3-8 ปีข้างหน้า เช่น Zara และ H&M เป็นต้น

ทำไมตลาด Textile Recycling จึงมีความน่าสนใจ

Textile Recycling

Textile Recycling เป็นแนวทางที่สอดรับกับ BCG Model ซึ่งตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคในแง่ของการรักษ์สิ่งแวดล้อม และผู้ผลิตทั้งในด้านการลดความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาวัตถุดิบ รวมถึงเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้า ซึ่งจะทำให้การรีไซเคิลสิ่งทอมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. ตอบโจทย์กระแสรักษ์สิ่งแวดล้อม

การผลิตเสื้อผ้าที่ทำมาจากขยะสิ่งทอก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าการผลิตเสื้อผ้าทั่วไป ทั้งในแง่ของการใช้ทรัพยากรน้ำและที่ดิน รวมทั้งลดการใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลงและสารเคมีในการฟอกย้อมสี ดังจะเห็นได้จากงานวิจัยของ Shameek Vats, Marja Rissanen (2016) ที่ชี้ว่า การใช้ขยะสิ่งทอทุกๆ 1 กิโลกรัมสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซ CO2 ราว 3.6 kgCO2e รวมทั้งช่วยประหยัดน้ำ 6,000 ลิตร ปุ๋ยเคมี 0.3 กิโลกรัม และยาฆ่าแมลง 0.2 กิโลกรัม

นอกจากนี้ ที่ดินสำหรับปลูกฝ้ายยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตรอื่นๆ สอดคล้องกับงานวิจัยของ Toshiro Semba, Yuji Sakai (2020) ชี้ว่า การรีไซเคิลเสื้อผ้าที่ใช้แล้วทุกๆ 1 กิโลกรัมสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซ CO2 ได้ราว 3.2-6.7 kgCO2e

ซึ่งในปัจจุบัน พฤติกรรมของผู้บริโภคสนใจที่จะซื้อเสื้อผ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่งผลดีต่อการเติบโตของ Textile Recycling สะท้อนจากผลสำรวจของ McKinsey & Company (2022) ชี้ว่า 54% ของผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ ตั้งใจที่จะซื้อเสื้อผ้าที่ทำมาจากวัสดุรีไซเคิลมากขึ้น สอดคล้องกับผลสำรวจของ Eurobarometer (2020) ชี้ว่า 77% ของผู้บริโภคชาวสหภาพยุโรปส่งเสริมการผลิตเสื้อผ้าที่ทำมาจากวัสดุรีไซเคิล

ขณะที่ผลสำรวจของ PR Newswire (2019) ชี้ว่า 83% ของผู้บริโภคชาวจีนจะเลือกซื้อเสื้อผ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ผลิตมาจากวัสดุธรรมชาติและวัสดุรีไซเคิล เป็นต้น นอกจากนี้ ผลสำรวจของ The European Apparel and Textile Confederation (2022) ชี้ว่า เกือบครึ่งของผู้บริหารแบรนด์เสื้อผ้าค้าปลีกในยุโรป คาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์เสื้อผ้ามากกว่า 30% ที่ผลิตมาจากเส้นใยรีไซเคิลภายในปี 2568 ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มความต้องการเสื้อผ้าที่ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนมากขึ้น ทำให้มูลค่าตลาด มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีกมากในอนาคต

2. ลดความเสี่ยงจากราคาวัตถุดิบเสื้อผ้าที่มีความผันผวน

การผลิตเสื้อผ้าที่ทำมาจากขยะสิ่งทอถือเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในการช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบ จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดภัยแล้งรุนแรง ส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางเกษตรอย่างฝ้าย ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเสื้อผ้าทั่วโลก เนื่องจากการเพาะปลูกฝ้ายจำเป็นต้องใช้น้ำจำนวนมาก ทำให้ราคาฝ้ายมีความผันผวนและยังอยู่ในระดับสูง สะท้อนจากประมาณการของ World Bank ที่คาดว่า ราคาฝ้ายเฉลี่ยของโลกในช่วงปี 2566-2578 จะอยู่ที่ราว 2.2-2.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลกรัม

ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 2560-2564 ซึ่งอยู่ที่ 1.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลกรัม นอกจากนี้ การผลิตเสื้อผ้าที่ทำมาจากขยะสิ่งทอยังช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ เช่น ไทยจำเป็นต้องนำเข้าฝ้ายจากสหรัฐฯ อินเดีย และจีนมากถึง 99% ของความต้องการใช้ในประเทศทั้งหมดเพื่อนำมาผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เนื่องจากไทยผลิตฝ้ายได้เพียงปีละประมาณ 1,200 ตันเท่านั้น

3. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิต

เทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตเสื้อผ้าที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วจะทำให้การรีไซเคิลสิ่งทอมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 2 วิธีหลัก ได้แก่ การรีไซเคิลเชิงกล (Mechanical recycling) เป็นการรีไซเคิลด้วยการตัดและการบด ซึ่งใช้พลังงานต่ำและประหยัดต้นทุน แต่เส้นใยรีไซเคิลจะมีคุณภาพต่ำ ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์และเฟอร์นิเจอร์ เช่น ผ้าสำหรับทำความสะอาด วัสดุบุรอง เป็นต้น และการรีไซเคิลเชิงเคมี (Chemical recycling) เป็นการรีไซเคิลที่ใช้กระบวนการทางเคมีด้วยตัวทำละลาย ซึ่งกระบวนการต้องใช้พลังงานไฟฟ้าที่สูงกว่าการรีไซเคิลเชิงกล แต่เส้นใยรีไซเคิลจะมีคุณภาพใกล้เคียงกับเส้นใยบริสุทธิ์

การผลิตสิ่งทอจากเส้นใยรีไซเคิล 100% ยังช่วยลดปริมาณของการใช้น้ำมากถึง 95% และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 45% ต่อปี เนื่องจากการใช้เส้นใยรีไซเคิลเป็นวัตถุดิบในการผลิตสิ่งทอจะช่วยลดการปลูกฝ้าย และลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงในการผลิตเส้นใยบริสุทธิ์ใหม่อีกครั้ง

ยกตัวอย่างเช่น กรณีบริษัทผลิตผ้าฝ้ายทอจากฝ้ายรีไซเคิล 100% โดยมีกำลังการผลิตประมาณ 100,000 กิโลกรัมต่อปี จะสามารถช่วยลดปริมาณการใช้น้ำ46 พันลูกบาศก์เมตรต่อปี หรือราว 600,000-700,000 บาทต่อปี รวมทั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 600 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกป่าจำนวน 50,000 ต้น

ขอบคุณแหล่งที่มาจาก efinancethai

Tim Hortons เดินหน้าปรับรับโลกร้อน เปลี่ยนช้อนส้อมแก้วกาแฟให้ย่อยสลายได้

Previous article

มัลดีฟส์เตรียมสร้างเมืองลอยน้ำแห่งที่ 2 ของโลกต่อจากปูซาน รับมือเมืองจมใต้ทะเล เริ่มเปิดรับผู้อาศัยปี 2024

Next article

You may also like

More in Bitesize