สภาวะโลกร้อน ไม่ได้มีแต่จะร้อนขึ้น แต่จะทำให้หนาวขึ้นด้วย

สภาวะโลกร้อน ทำให้อากาศร้อนขึ้นแล้ว ยังทำให้อากาศหนาวผิดปกติด้วย เพราะโลกร้อนไปทำลายก๊าซเรือนกระจก ทำให้สมดุลของอากาศเปลี่ยนไป

ก๊าซเรือนกระจก คือ ก๊าซที่เป็นองค์ประกอบของบรรยากาศโลกห่อหุ้มโลกไว้เสมือนเรือนกระจก ก๊าซเหล่านี้มีความจำเป็นต่อการรักษาอุณหภูมิของโลกให้คงที่ ซึ่งอาจแบ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกตามธรรมชาติและก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรม โดยองค์ประกอบที่สำคัญของก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), มีเทน (CH4), ไนตรัสออกไซด์ (N2O), ซีเอฟซี (CFCs), ไฮโดรฟลูโรคาร์บอนคาร์บอน (HFCs), เพอร์ฟลูโรคาร์บอน (PFCs) และซัลเฟอร์เฮกซาฟลูออร์ไรด์ (SF6)

ปรากฏการณ์เรือนกระจก คือ การที่โลกถูกห่อหุ้มด้วยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นองค์ประกอบของบรรยากาศโลกก๊าซเหล่านี้ดูดคลื่นรังสีความร้อนไว้ในเวลากลางวัน แล้วค่อยๆ แผ่รังสีความร้อนออกมาในเวลากลางคืน ทำให้อุณหภูมิในบรรยากาศโลกไม่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันหากไม่มีก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ จะทำให้อุณหภูมิในตอนกลางวันนั้นร้อนจัด และในตอนกลางคืนนั้นหนาวจัด

ผลกระทบของธรรมชาติ VS มนุษย์ ต่อปรากฏการณ์ก๊าซเรือนกระจก โดยธรรมชาติแล้ว ก๊าซเรือนกระจกจะช่วยรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้อยู่ในระดับที่คงที่ อย่างไรก็ตาม กิจกรรมที่ดำเนินการโดยมนุษย์กลับส่งผลให้เกิด “ภาวะโลกร้อน (Global Warming)” อันเกิดจากสาเหตุการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลและการตัดไม้ทำลายป่า

สภาวะโลกร้อน ไม่ได้มีแต่จะร้อนขึ้น แต่จะทำให้หนาวขึ้นด้วย

ได้มีข่าวหนึ่งที่พูดถึง สภาวะอากาศหนาว ที่เกิดจาก สภาวะโลกร้อน ว่า

EarthTalk พายุหิมะและน้ำแข็งทั่วสหรัฐอเมริกาไม่ได้หมายความว่าโลกไม่ได้ร้อนขึ้นหรอกหรอ ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเห็นหน้าหนาวที่หนาวแบบนี้มาก่อน! – มาร์ก แฟรงคลิน

หากมองโดยผิวเผิน ก็คงต้องยอมรับว่าหน้าหนาวในสหรัฐรอบนี้โหดร้ายจริงๆ และชาวอเมริกันหลายล้านคนอาจกำลังต้องทนทรมาณกับอากาศหนาวอย่างผิดวิสัย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าโลกไม่ได้ร้อนขึ้นหลังจากที่เราปล่อยสารพัดแก๊สเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ

องค์การนาซ่า (National Aeronautics and Space Administration: NASA) ระบุว่าปีที่ร้อนที่สุด 10 ปีในประวัติศาสตร์โลกเกิดขึ้ยภายหลัง พ.ศ. 2540 องค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือโนอา (National Oceanic and Atmospheric Administration : NOAA) รายงานว่าทศวรรษที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์รอบ 1,000 ปี และความร้อนดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงปลายศตวรรษที่ 19

“คุณบอกอะไรไม่ได้มากนักเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศในภาครวม หากไปยึดติดกับบางวันที่หนาวสุดขั้ว ฤดูกาล หรือปีแต่ละปี” Eoin O’Carroll ระบุในความซึ่งเผยแพร่ใน Christian Science Monitor “เราต้องศึกษาจากแนวโน้มในระยะยาว” Dr. Gavin Schmidt นักภูมิอากาศศาสตร์จากองค์การนาซ่าแสดงความเห็นในทิศทางเดียวกัน

นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า เราต้องแยกให้ได้ระหว่างสภาพลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศ องค์กรโนอานิยามความหมายภูมิอากาศว่าคือค่าเฉลี่ยของสภาพอากาศอย่างน้อย 30 ปี ดังนั้น เหตุการณ์ผิดปกติ เช่น หน้าหนาวที่โหดร้ายในสหรัฐอเมริกาปีนี้ ไม่ได้หมายความว่าวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อถือ

ในทางกลับกัน เราควรตั้งคำถามว่าสภาะโลกร้อนเป็นสาเหตุให้เกิดสภาพภูมิอากาศดังกล่าวหรือไม่ โดยเฉพาะหน้าหนาวที่รุนแรงขึ้น เช่น ที่เราระบุในคอลัมน์ EarthTalk เมื่อไม่นานมานี้ว่า ปี พ.ศ. 2549 เป็นปีแรกที่ทะเลสาบ Erie ไม่กลายเป็นน้ำแข็งครั้งแรกในรอบประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ดังกล่าวอาจนำไปสู่ปริมาณหิมะที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากน้ำที่ระเหยจากทะเลสาบจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในอากาศ

นอกจากนี้ เหตุการณ์สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็นพายุหิมะ เฮอร์ริเคน หรือภัยแล้ง ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นผลข้างเคียงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ระบุว่าสภาพดินฟ้าอากาศในแต่ละปีอาจไม่ได้บอกอย่างตรงไปตรงมาว่าโลกกำลังร้อนขึ้นหรือเย็นลง

แม้แต่บางคนที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังมองว่าความแปรปรวนในฤดูหนาวไม่ได้เป็นหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับสภาวะโลกร้อน เช่น Jimmy Hogan ที่ระบุว่า “หากเราใช้ตัวอย่างครั้งคราวมีเป็นหลักฐานปฏิเสธสภาวะโลกร้อน เราก็ต้องเผชิญกับหลักฐานในลักษณะเดียวกันจากผู้คนที่เชื่อเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” โดยระบุถึงนักสิ่งแวดล้อมบางกลุ่มที่ยกเอาพายุเฮอร์ริเคนว่าเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าสภาวะโลกร้อนเป็นความจริง

สิ่งที่เราควรจะต้องจำไว้เสมอคือการเปิดเครื่องปรับอุณหภูมิไม่ว่าจะในหน้าร้อนหรือหน้าหนาว เป็นส่วนหนึ่งคือทำให้เกิดสภาวะโลกร้อนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล จนกว่าเราจะเปลี่ยนแปลงไปยังแหล่งพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สภาวะโลกร้อนจึงยังเป็นปัญหา ไม่ว่าอากาศข้างนอกจะร้อนหรือเย็นจนผิดปกติก็ตาม

ขอบคุณแหล่งที่มาจาก seub

ทำความรู้จัก Carbon Footprint

Previous article

เมื่อ Tesla กระเด็นออกจาก ดัชนีความยั่งยืน

Next article

You may also like

More in Life